ทำไมบริษัทใหญ่จึงยอมลงทุนสร้าง คลังสินค้าใกล้เมือง 

Last updated: 12 มิ.ย. 2568  |  12 จำนวนผู้เข้าชม  | 

  ทำไมบริษัทใหญ่จึงยอมลงทุนสร้าง  คลังสินค้าใกล้เมือง 

ทำไมบริษัทใหญ่จึงยอมลงทุนสร้างคลังสินค้าใกล้เมือง?
ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับการเติบโตของธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ หลายบริษัทขนาดใหญ่ทั้งในไทยและต่างประเทศ ต่างหันมาลงทุนสร้าง “คลังสินค้าใกล้เมือง” มากขึ้น แม้ว่าการก่อสร้างและค่าที่ดินในเขตเมืองจะมีต้นทุนสูงกว่าหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับพื้นที่ชานเมืองหรือชนบท

คำถามคือ…เพราะเหตุใดบริษัทเหล่านี้จึงตัดสินใจลงทุนในทำเลที่ดูเหมือนจะแพงกว่า?
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเหตุผลสำคัญเบื้องหลังกลยุทธ์นี้

1. ความเร็วคือหัวใจของการแข่งขัน
ในยุคของการส่งสินค้าแบบ "Same Day Delivery" หรือ "Next Day Delivery" ความเร็วในการจัดส่งกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าใดร้านค้าหนึ่ง

คลังสินค้าที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุดจะสามารถช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังมือลูกค้าได้อย่างมาก การที่สินค้าสามารถออกจากคลัง แล้วไปถึงปลายทางได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ย่อมสร้างความพึงพอใจ และเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าได้อย่างชัดเจน

2. ลดต้นทุน Last Mile Delivery
ต้นทุนการขนส่งในช่วงสุดท้าย หรือที่เรียกว่า "Last Mile Delivery" เป็นต้นทุนที่สูงที่สุดของระบบโลจิสติกส์ เนื่องจากต้องส่งมอบสินค้าถึงมือผู้รับที่มีความหลากหลายของเส้นทาง และมักเผชิญกับปัญหาจราจรหนาแน่นในเมืองใหญ่

เมื่อคลังสินค้าอยู่ใกล้เขตเมืองมากขึ้น ระยะทางการขนส่งในช่วง Last Mile ก็สั้นลง ช่วยลดค่าน้ำมัน ค่าแรงงานคนขับรถ ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถ รวมถึงลดความเสี่ยงของการดีเลย์จากปัญหารถติดได้อีกด้วย

3. รองรับปริมาณออร์เดอร์ในเมืองที่หนาแน่น
พื้นที่เขตเมืองและชานเมืองมักเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการสินค้าและบริการหนาแน่นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือหัวเมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค การมีคลังสินค้าที่อยู่ใกล้กลุ่มผู้บริโภคหลัก ย่อมช่วยให้การบริหารจัดการคำสั่งซื้อจำนวนมากทำได้มีประสิทธิภาพและแม่นยำขึ้น

4. บริหารสต๊อกและจัดการออเดอร์ได้ดีกว่า
คลังสินค้าที่อยู่ใกล้ลูกค้า ยังช่วยให้บริษัทสามารถบริหารสต๊อกได้ยืดหยุ่นมากขึ้น ระบบจัดเก็บสมัยใหม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ และปรับปริมาณสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการได้แบบเรียลไทม์ ลดโอกาสของการขาดสต๊อก หรือสต๊อกสินค้าค้างเกินความจำเป็น

5. เสริมความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ทุกบริษัทในยุคปัจจุบันกำลังแข่งขันกันที่ "ประสบการณ์ลูกค้า" (Customer Experience) การที่ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็ว ได้ของตรงเวลา มีการติดตามสถานะจัดส่งอย่างแม่นยำ ย่อมสร้างความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งกลายเป็นแต้มต่อสำคัญเหนือคู่แข่ง

6. เทรนด์ Micro Fulfillment Center (MFC)
หลายบริษัทเริ่มปรับคลังสินค้าใกล้เมืองให้เป็นลักษณะ Micro Fulfillment Center หรือคลังขนาดย่อยที่ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติควบคุมการจัดเก็บสินค้าแบบคอมแพ็ค รองรับการหยิบสินค้าตามคำสั่งซื้อออนไลน์ขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนการลงทุนต่ำกว่าคลังใหญ่ แต่ตอบโจทย์ความเร็วและความยืดหยุ่นสูง

7. ลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การกระจายคลังสินค้าในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเมือง ยังช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ ระบบไฟฟ้าขัดข้อง หรือการจราจรอัมพาต ด้วยความยืดหยุ่นของเครือข่ายโลจิสติกส์ที่กระจายศูนย์กลางการจัดเก็บสินค้าออกไปหลายแห่ง


สรุป
แม้ต้นทุนของคลังสินค้าในเมืองจะสูงกว่าพื้นที่นอกเมืองหลายเท่าตัว แต่ประโยชน์ในแง่ของความรวดเร็วในการจัดส่ง ประสิทธิภาพการขนส่ง ลดต้นทุน Last Mile การบริหารความเสี่ยง และการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า กลับคุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว

ธุรกิจที่สามารถส่งของไวกว่า สต๊อกแม่นยำกว่า และลดความเสี่ยงได้มากกว่า ย่อมมีแต้มต่อในการแข่งขันที่สูงขึ้นในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมายเช่นทุกวันนี้

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้